นายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ กล่าวว่า สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ มีแผนที่จะใช้ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา เป็นศูนย์กลางการบินทั้งระยะใกล้และระยะไกลในปี 2563 เนื่องจากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา มีปัจจัยที่เอื้อต่อการเป็น “เมืองการบิน” ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการและการบำรุงรักษาอาคารผู้โดยสาร, ศูนย์ธุรกิจการค้า (Commercial Gateway) , ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ (Air Cargo) ธุรกิจซ่อมเครื่องบิน (Maintenance Repair and Overhaul, MRO) , ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรการบิน และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอากาศยาน (Free Trade Zone) และในอนาคตทางภาครัฐยังมีแนวคิดริเริ่ม โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ซึ่งเป็นโครงการที่สำคัญอันดับหนึ่ง ใน 5 โครงการสำคัญของ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะช่วยยกระดับการขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออก และเป็นตัวเชื่อมกับท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ปัจจุบันมีความหนาแน่นของการใช้บริการสูง
เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ สายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ จึงเตรียมที่จะขยายเส้นทางบินจากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา สู่ประเทศจีน อินเดีย และประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียในอนาคต เพื่อรองรับตลาดการท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกปี ทั้งยังเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้สายการบินฯยังมีแผนขยายฝูงบิน โดยเตรียมเพิ่มจำนวนอากาศยานอีก 50 ลำ ในอนาคตอีกด้วย
ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง - พัทยา เป็นสนามบินนานาชาติหลักแห่งที่ 3 ของประเทศไทย มีพื้นที่โดยรอบประมาณ 6,500 ไร่ สามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 3 ล้านคน และตั้งอยู่ที่รอยต่อระหว่างจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง และอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ถือเป็นท่าอากาศยานที่ตอบโจทย์ทุกรูปแบบของนักเดินทางทั่วโลกโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนและรัสเซียที่นิยมเดินมาท่องเที่ยวพักผ่อนในบรรยากาศริมทะเลโดยเฉพาะเมืองพัทยาซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของชาวต่างชาติ